เชื่อว่าหลายๆคนคงมีปัญหานี้ในเวลาที่คิดอย่างจากกินของหวาน แต่มาคิดอีกทีก็น้า จะกินดีมั้ย? กินแล้วจะอ้วนมั้ย? วันนี้ emjoy bakery มีเทคนิคการกินของหวานให้ไม่อ้วนมาบอก

1. กินให้ถูกเวลา
อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก ห้ามอดเด็ดขาด ถึงจะลดน้ำหนักยังไงก็ตาม ที่สำคัญสำหรับคนที่ชอบกินของหวานนั้น ขอแนะนำเลยว่า ช่วงเวลาที่เป็นสวรรค์นั้นคงอยู่ที่เวลา 6.00 – 10. 00 คือช่วงเช้าหลังอาหาร เพราะตอนเช้าเป็นช่วงที่กระบวนการเผาผลาญของร่างกายทำงานและจัดการไขมันส่วนเกินดีที่สุด พอรู้อย่างงี้ก็นำปรับไปใช้ได้เลยน้า
2. กินให้น้อยลง
ถูกต้องจ้า อาจจะฟังดูกวนโอ้ยไปหน่อยแต่ฟังไม่ผิดหรอก มีหลายวิธีมากก เช่น ดื่มน้ำก่อนเลยย เพราะการดื่มน้ำจะช่วยให้เรากินน้อยลงแน่นอน เมื่อเรากินน้ำน้ำจะเข้าไปแทนที่ขนมที่จะกินทำไมเรากินได้น้อยลงและเกิดอาการอิ่ม ก็เป็นข้อดีเหมือนกันน้า ผอมด้วย แถมยังประหยัดตังด้วย
3. คำนวณปริมารและแคลอรี่
เป็นอีกวิธีนึงที่เป็นที่นิยมของเหล่าผู้คุมน้ำหนักต่างๆ โดยเป็นการหาว่าเราต้องการพลังงานเท่าไรแล้วเรากินไปเท่าไร ถ้ากินเยอะเกินก็เหลือ ส่วนที่เหลือก็จะถูกเก็บสะสมเป็นพุงน้อยติดอยู่ที่หน้าท้องของสาวๆ แต่หากกินน้อยไปก็จะขาดพลังงานอาจจะดูไม่มีเรียวแรง ดังนั้นเราต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
แคลอรี่ที่ต้องการ = 665 + (9.6 * น้ำหนักเป็นกิโลกรัม) + (1.8 * ส่วนสูงเป็นเซนติเมตร) – (4.7 * อายุ)
เช่น อายุ 18 หนัก 48 กิโลกรัม สูง 165 เซนติเมตร ก็จะเท่ากับ 665 + (9.6 *48) + (1.8 *165) – (4.7 *18) จะได้ว่า 1338.2 กิโลแคลอรี่ ตัวเลข1338.2 นี้คือแคลอรี่ที่เราต้องการใน1 วัน โดยที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย หมายความว่า หากเรามีกิจกรรมหรือออกกำลังกาย ต้องนำค่านี้ไปคูณกับค่าคงที่ของการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น
- - นั่งทำงานอยู่กับที่ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย หรือน้อยมาก = BMR x 1.2
- - ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเล็กน้อย 1-3 วัน/สัปดาห์, เดินบ้างเล็กน้อย ทำงานออฟฟิศ = BMR x 1.375
- - ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาปานกลาง 3-5 วัน/สัปดาห์, เคลื่อนที่ตลอดเวลา = BMR x 1.55
- - ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก หรือเป็นนักกีฬา ทำงานที่ใช้แรงงานมาก = BMR x 1.9
Comments